วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

เลือก Mac แบบไหน ให้ตรงใจคุณ ตอนที่1



 หลายๆครั้งในการทำงานของผม มักจะโดนลูกค้าถามเสมอว่า "ถ้าพี่จะซื้อ Mac น้องแนะนำแบบไหน? "แล้วแบบนี้กับบบนี้ล่ะ?" "พี่มีคอมอยู่ที่บ้าน แต่อยากใช้Mac เอารุ่นไหนดี?" ซึ่งผมคิดว่า ในหลายๆครั้งคำแนะนำที่ผมให้อาจจะไม่ชอบ ก็ได้ด้วยเหตุผลอะไรหลายๆอย่าง ผมเลยคิดว่า การเขียน รีวิว แบบเกรียนของผมน่าจะช่วยทุกคนได้บ้าง ในการเลือก Mac ในแบบของคุณ แต่ก่อนที่ผมจะแนะนำ เราก็น่าจะมาลองดู แนวคิดและ ระบบของ Mac กันก่อนดีกว่าไหมครับ ????
(ไม่เอาประวัตินะ มันยาว เอาง่ายๆ แบบ มินิมอลลิสต์ ฮาาา )

ปล.นี่เป็น บทความจากความเห็นส่วนตัวล้วนๆ งดดราม่า นะจ๊ะ

Mac คืออะไร ?
 ตอบง่ายๆ Mac คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ของ Apple นั่งเองครับ โดย แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบ NoteBook และแบบ Desktop แล้วสองแบบนี่ต่างกันยังไง..... ลักษณการใช้งานมันก็บอกแล้วนะครับ

Steve Jobs กำลังเปิดตัว MacBook Air

  แบบ NoteBook เป็นยังไง?
 ในปัจจุบัน เครื่อง Mac แบบ NoteBook มีหลักๆ 2แบบ ครับ คือ MacBook Air และ MacBook Pro โดยตัวหลังแบ่งเพิ่มได้อีกรุ่นคือ MacBook Pro with Retina Display ครับ ซึ่งถือเป็นรุ่นสูงสุดของ แบบ NoteBook ครับผม
 ส่วนหน้าจอนั้นมีตั้งแต่ 11นิ้ว , 13นิ้ว และ 15นิ้ว ครับ

MacBook Air

  ผมขอเริ่มต้นด้วย NoteBook รุ้นเล็กของ Apple นามว่า MacBook Air



 MacBook Air เปิดตัวมาเป็น NoteBook ขนาดเล็ก ที่เน้นน้ำหนักเบา ประสิทธิภาพในการดึงข้อมูลสูง กว่ารุ่น Pro ถึง 2 เท่า (เขาว่ามา) มีขนาดหน้าจอ 11 และ 13 นิ้วครับ  โดยในแต่ละขนาดหน้าจอ จะแบ่งย่อยออกเป็น 2 Spec อีกครับ แบ่งง่ายๆแบบนี้

คุณสมบัติของMacBook Air ทั้งสี่รุ่นครับ
สรุปข้อดี
- เบามาก (11นิ้ว อยู่ที่ประมาณ 1กิโล 13นิ้วอยู่ที่ 1.5 กิโล ครับ)
- การดึงข้อมูลเร็วกว่ารุ่นพี่พอสมควรครับ เพราะใช้ HDD แบบ FLASH 
- Keyboard แบบเรืองแสงในความมืด เหมาะกับคนที่ต้องทำงานในที่แสงน้อย
- วัสดุเป็นอลูมิเนียม ความคงทนสูง
- ไม่ต้องปิดเครื่อง แค่พับหน้าจอ เข้าสู่โหมด Sleep ได้ทันทีโดยไม่มีผลต่อการทำงานของเครื่อง (เพราะรุ่นทั่วไป ใช้ HDD แบบจานหมุน ซึ่งถ้ากระทบ อาจทำให้เข็มหัก พังอีก จบ) Apple บอกว่า Stand By ได้นานถงึ 30 วัน (ไม่เคยลองนะเธอ)

ข้อด้อย
- Port เชื่อมต่อน้อยมาก เช่น ไม่มี Firewire 800 , HDMI และสาย LAN (ต้องซื้อหัวแปลงเพิ่มเติม) ช่องใส่ CD ก็ไม่มีนะ ซื้อแยก ช่องใส่ SD Card สำหรับ 13 นิ้ว เท่านั้น
- HDD ทีให้มาน้อยมากกกกกก เก็บข้อมูลได้ไม่เยอะเลยถ้าเทียบกับราคา ที่มหาศาล (แต่การดึงข้อมูลไวโคตร)
- ตัดต่อหนัง หรือ รูปภาพได้แค่แบบง่ายๆ แปลว่า Final Cut Pro จบนะครับ ไม่รอดด
- หน้าจอไม่มีกระจกติดแบบรุ่นใหญ่นะครับ (แหมมม เน้นเบานี่ ) ฉะนั้นต้องระวังอะไรไปทำร้ายหน้าจอนะครับ (เคยเจอนะครับ เปลี่ยนจอกระจายเลย)
- Spec เพิ่มทีหลังไม่ได้นะครับ ตายตัวมาเลย (สั่งเพิ่มได้ครับ)

  แล้วเหมาะกับใคร??
    MacBook Air เหมาะกับคนที่ต้องการความเบา ความสะดวกในการพกพา แม้ CPU จะน้อยกว่ารุ่นพี่ แต่มีดีที่ HDD แบบ FLASH (นึกไม่ออก นึกถึง FLASH DRIVE นะครับ คล้ายๆกัน) ทำให้ดึงข้อมูลได้เร็วมาก และน้ำหนักที่เบาหวิววววว ดังนั้น ถ้าอยากได้แบบ เบา เบา เน้นทำงานเอกสาร ตัดต่อ วีดีโอ นิดหน่อย ตกแต่งภาพง่ายๆ และไม่ติดใจเรื่อง HDD ที่โคตรน้อยยยย นี่คือคำตอบของคุณครับ







MacBook Pro


   มาถึงรุ่นยอดฮิตสนั่นลั่นทุ่ง (ไม่เชื่อลองเดินไปดูสิครับ เจอ 10 เครื่อง 7ใน10 แม่งก็รุ่นนี้แหละครับ) 
1 ใน NoteBook ที่ขายดีที่สุดในโลก (โม้เอง 555) 
 MacBook Pro ผมขอนิยามเป็น "NoteBook ราคาประหยัดของ Apple" ครับ เพราะด้วยราคาเริ่มต้น ที่ 3 หมื่นปลายๆ และเทียบ Spec ที่มาตราฐาน ที่สุดแล้ว พร้อม Port เชื่อมต่อ ที่มีให้เยอะจริงๆ 

 ไล่มาตั้งแต่ USB 3.0 Firewire800 สาย LAN ช่อง SD Card และ ช่องใส่ CD (Air น้อยใจเบยยยย )
แต่แน่นอน ว่า ต้องแลกมาด้วยน้ำหนักที่มากขึ้น (13นิ้วหนักประมาณ 2กิโล 15นิ้วหนักประมาณ 2.5กิโล)

สำหรับ MacBook Pro เนี่ย นอกจากหน้าจอของมันจะแบ่งเป็น 2 ขนาดแล้ว ทั้ง 2 ขนาด ก้แตกต่างกันพอควร ฉะนั้น จะขอแยกออกไปเลยนะครับ โดยเริ่มจาก 13นิ้ว


MacBook Pro 13นิ้ว

  จากรูปภาพจะเห็นว่า ตัว 13นิ้วนั้นแบ่งเป็น 2รุ่น ซึ่งทำให้การตัดสินใจง่ายมาก โดย รุ่นนี้ออกแบบมาให้ใช้งานพื้นฐานได้หมดเลย ทั้งตัดต่อ เอกสาร เกมส์ (แต่แน่นอนว่า เจอหนักๆ Final Cut ก็ไม่ไหวนะ) 
 ด้วยขนาดและ Port เชื่อมต่อที่เกือบครบ (ไม่มี HDMI VGA ซื้หัวแปลงแยกนะจ๊ะ) ทำให้มือใหม่ใช้ Mac เลือกที่จะซื้อตัวนี้มากที่สุด ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา แหละครับ

ต่อไปกับ MacBook Pro 15นิ้วครับ



MacBook Pro 15นิ้ว
 MacBook Pro 15 นิ้ว นับเป็นรุ่นที่ราคาสูงที่สุด (ไม่นับ Retina นะครับ อันนั้นขอแยกออกไป) ในสารบบ ของ Mac ด้วย Spec ที่สูง และ ประสิทธิภาพ นักตัดต่อ ทำหนัง เพลง ส่วนใหญ่เลือกที่จะสอยรุ่นนี้ครับ โดยจุดเด่นของรุ่นนี้คือ การ์ดจอแบบแยก ที่ทำให้การประมวลผลด้านภาพดีขึ้นมากกว่า รุ่น 13 นิ้ว หรือ Air ที่เป็นแบบ On Board ครับผม
 ต่อมาก็คือลำโพง ที่ ใหญ่มากกกกก ชอบเบยยย สำหรับคนที่ต้องการเสียงดังไป 3บ้าน8บ้านครับ

สรุปข้อดี
- ราคา และคุณสมบัติ มาตราฐาน สมเหตุผล
- หน้าจอมีกระจกกั้นไว้อีกชั้นนึงทำให้ป้องกันหน้าจอจริงๆ ได้พอสมควร
- Port เชื่อมต่อแบบต่างๆมีมาให้เกือบครบ ช่องใส่ CD ก็มีนะครับ
- วัสดุที่ทำมีความทนทานสูงครับ อลูมิเนียม นี่หว่า
- สามารถ อัพSpec ภายหลังได้ครับ HDD,RAM ประมาณนี้
ต่อไปเพิ่มเติมสำหรับ 15นิ้วครับ
- ลำโพงดังโคตรๆๆๆ
- การ์ดจอแยก อันนี้เด็ด สำหรับนักตกแต่ง ตัดต่อหนักๆ
- หน้าจอใหญ่ (เอ่อ เขาคิดไม่ออกง่ะ)
ข้อด้อย
- น้ำหนักมาก 13 2kg. , 15 2.5kg. (ประมาณนะครับ) ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการความเบา
- อลูมิเนียม ทำให้การดูแลยากนิดนึงเพราะถ้าเป็นรอยเช็ดออกยาก
- HDD ที่ให้มาเป็นแบบจานหมุน นั่นแปลว่า ถ้ากระแทกแรงๆเข็มหักได้นะเธอ (เปลี่ยนทีหลังได้)

แล้วเหมาะกับใคร
 MacBook Pro ทั้งสองรุ่นเหมาะกับคนที่ ต้องการความคุ้มค่าในการใช้งาน แบบ "ครบเครื่อง"
ทั้งราคา และคุณภาพ ด้วย การเชื่อมต่อแบบต่างๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยน้ำหนักที่มากขึ้น และ ความเร็วในการดึงข้อมูลที่ลดลง (HDD แบบหมุน หรือจะสู้ แบบ FLASH) ตัวนี้แหละครับที่เหมาะกับคุณ

เมื่อมาถึงตอนนี้ แล้วยังมีคนคิดว่า อยากได้ NoteBook ที่มันเจ๋งกว่านี้ มีอะไรให้ถลุงอีกไหม? ที่บบ้านรวยยย อยากเอาหนักๆ อ่ะ จัดไป กับรุ่นนี้ครับ โคตรพ่อโคตรแม่สุดๆกับตัวนี้ที่พึ่งเปิดตัวไม่นาน กับ




     นี่เลย รุ่นสุดๆ ของ MacBook นาม MacBook Pro with Retina Display ด้วยชื่อก็บอกแล้วว่ามันมีดีตรงไหน แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่า มันก็มีการเพิ่มขึ้นของหน้าจอที่คมชัดมากกกกก แล้วก็น้ำหนักที่เบา ขึ้น (13นิ้ว 1.5กิโล 15นิ้ว 2กิโล โดยประมาณ)
นอกนั้นก็เหมือนกันๆ กับรุ่นปกติครับ ฉะนั้นตัวนี้ผมจะขอละไว้ในฐานที่เข้าใจนะครับ


   เอาละครับ จบแล้วกับการรีวิว Mac แบบพกพา ครับ ชอบแบบไหน ก็ลองเอาไปประกอบการพิจารณานะครับ เพราะผมเชื่ออยู่แล้วว่าทุกคน มีความต้องการแตกต่างกัน ฉะนั้น บทความนี้อาจจะช่วยผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยครับ
  สำหรับตอนต่อไป ผมจะมาเล่าถึง Desktop นั่นคือ Mac mini , iMac และ Mac Pro ครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

โหมดเดินเล่น ตอน ตระเวนรั่วทั่วสยาม : จาก CTW ไปถึง ตลาดสามย่าน จบที่ BTS สยาม





   เรื่องของการเดินทางตะลอนทัวน์ในทริปนี้ มันก็เกิดจากเพื่อนกระผม นายนึงกำลังจะรับปริญญาแต่กระผมมิสะดวกอย่างแรงในวันนั้นเลยตัดสินใจว่า ไปเดินเล่นแล้วเอาของขวัญไปให้มันในวันนั้นซะเลย แต่ถ้าจะให้เปล่าก็ดูกระไรอยู่ ผมเลยคิดว่าเราน่าจะมีทริปเดินทั่วสยามมันเลย จึงเกิดเป็นทริปนี้ขึ้น

 ทริปที่ว่านี้เริ่มต้นที่ CTW ครับ ผมกับเพื่อนนัดกันไว้ที่นี่ แต่บังเอิญๆๆๆๆๆๆ ผมติดหนังการ์ตูนเรื่องนึงคือ NEON GENESIS EVANGELION  และสืบทราบมาว่า มีร้านหนังสือ ชื่อร้าน OH ANIME อยู่ที่นี่เลยลองไปหาดู และผมก็พบกับ....


EVANGELION ฉบับ ภาษาไทย ของสยามอิเตอร์ ที่รอคอย!!!!! (โอ้วจอร์จ มันจิ้นมว้ากกกกก) จะพลาดไปไย กระผมก็สอยมันเลยสิครับ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า บางตอนมันหมดไปแล้วนะสิ ไม่เป็นไร คราวหน้า ค่อยมาใหม่
และก่อนออกมาผมก็พบกับ


 โคนัน และ ไยบะ (ตอนเด็กๆ ติดไยบะมากๆๆ) ไว้วันหลังค่อยมาจิ้ม

  หลังจากที่ผมเจอเพื่อนและมอบของขวัญให้แล้ว ผมกับเพื่อนก็เลยคิดว่า จะลองไปเดินเล่นที่ตลาดสามย่านเสียหน่อย โดยตัดสินใจ จะเดินผ่านสนามกีฬา ของจุฬาฯ แต่ถามว่าทำไมต้องไปไกลขนาดนั้น เหตุผลก็คือ ตอนแรกว่าจะไปกิน MAGNUM CAFE แต่พบว่า คนเยอะมากกกกกกกกกก เลยไม่กินมันล่ะไว้เลิกเห่อค่อยไปกิน ฮาาาาา (แต่สุดท้าย ความคิดนั้นทำให้ผมปล่อยไก่ตัวเต็มๆ ยังไงก็ตามอ่านนะครับว่าปล่อยไก่ยังไง)
http://www.youtube.com/watch?v=SX6dJv5BWSk


การเดินตัดถนน ในจุฬาฯ นั้นทำให้ผมได้พบความสงบใจกลางเมืองหลวงจริงๆครับ สงบแบบที่ เมื่อผมเข้าไปผมรู้สึกถึง สถานที่แห่งนี้ว่า ยิ่งใหญ่ มีเกียรติ และที่สำคัญ ผมได้ทราบความจริงที่ผมไม่เคยรู้จริงๆนะครับว่า คณะสองคณะที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศอยู่ตรงข้ามกัน นั่นคือ นิเทศศาสตร์ และ ครุศาสตร์ครับ (คือเมื่อก่อนผมคิดว่านิเทศติดนิติศาสตร์ แล้ว ครุศาสตร์ติด MBK น่ะครับ แหะๆ ) ผมเลยแชะรูปไว้สักหน่อยว่าครั้งนึง กระผมเคยได้มาเยือน คณะที่สร้างบุคลากรระดับประเทศที่มีความสามารถ และบุคลากรเหล่า ก้ได้สร้างสิ่งดีๆให้กับประเทศครับ


คณะนิเทศศาสตร์ กับ 1ใน 5 แฟนพันธุ์แท้ Steve Jobs 
(นิเทศ แปลว่า สื่อสาร  มือเป็นสัญลักษณ์ว่า รัก ดังนั้นรูปนี้จึงแปลว่า ผมรักคุณ นะครับ อร้ายยยย)


คณะครุศาสตร์ 
คณะนี้ตอนผมเดินผ่าน ผมรู้สึกได้ถึงพลังแห่งความหวังเลยครับ
เป็นความหวังของคนที่เป็นครูที่หวังจะให้ลูกศิษย์ ของคนเป็นคนดีของสังคม 

   หลังจากผมเดินเที่ยวตลาดสามย่านจนหนำใจแล้วผมกับเพื่อนก็เดินผ่านมาทางเดิม มุ่งหน้าสู่ MBK ครับ แต่เป้าหมาย ไม่ใช่ MBK นะครับ แต่เป็น สถานที่ ที่อยู่ตรงข้าม นั่นคือ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร  หรือเรียกสั้นๆว่า หอศิลป์ กทม. 

Cr. http://ball69.blogspot.com/2010/03/blog-post.html
 โดยพวกผมไม่ได้มีเป้าหมายอะไรหรอกครับ เพียงแต่เบื่อที่จะต้องเข้าไปในห้างแล้ว เลยลองคุยกันว่า เออ ลองไปเดิน หอสิลป์ดีกว่า ไม่เคยไปเดิน อยากรุ้เหมือนกันว่าเป็นยังไง
ด้วยความที่ชื่อ หอศิลป์ มีนต้องมีอะไรอาร์ตๆหน่อย ผมก็เลยเจอนี่ครับ

ภาพพิมพ์หินร่วมสมัย จากฟินแลนด์ !?!??
  มันคือภาพพิมพืหิน จากฟินแลนด์!! แต่ผมกับเพื่อนก็มองว่ายังไงๆๆ มันก็คือ ผนังนี่หว่า ติส ป่ะล่ะครับ( ถามคนแถวนั้น เขาบอกว่า ผลงานยังยังไม่ติดครับ ) ถ้ายังไม่พอ ตอนผมเข้าห้องน้ำผมก็พบกับ นี่ครับ

ป้ายเขียนว่า "งดแสดงกริยาไม่เหมาะสม"
ถ้าติดทั่วไปคงไม่เท่าไหร่ แต่นี่ติดไว้ในห้องน้ำผู้ชายนะครับ เอ้า..เรื่องจริงครับผม อันที่จริง จะมองว่าตลกก็ตลก แต่ในความจริง ผมมองว่าน่าจะนำไปตอดในห้าง ดังๆมากกว่า เพราะตรงนั้น เดินจับมือถือแขนเยอะกว่าอีกครับ จริงไหมล่ะครับ ?
 เป้าหมายของพวกผม มีขึ้นหลังจากทราบว่า มีภาพถ่ายฝีพรหัตถ์ของสมเด็จพระเทพฯ ครับ ผมกับเพื่อนจึงรีบบึ่งขึ้นชั้น 9 ทันที แต่ครับก่อนขึ้นต้องมีการฝากกระเป๋า ที่มีขนาดใหญ่กว่่า A4 นะครับ โดยจะมีที่ให้เราเก็บของเป็น ล็อกเกอร์ โดยเราต้องเอาบัตรประชาชนไปแลก กุญแจครับ แล้วจากนั้นเราก็เดินขึ้นไปโลดดดดด โดยในระหว่างทาง ก็มีนิทรรศการ เรื่องเสียงด้วยครับ เป็นยังไง ไม่บอก ลองเดินไปชมเองนะครับ 
  เมื่อผมมาถึงที่ชั้น 9 แล้ว ซึ่งมีนิทรรศการ "ควงกล้องท่องโลก" ผมขอไม่บรรยาย นะครับ ขอให้ทุกคนดูรูปเองดีกว่าครับ 















นิทรรศการ "ควงกล้องท่องโลก"นี้จะจัดไปถึงวันที่ 3 กุภาพันธ์ เท่านั้นนะครับ 


  และหลังจากที่ได้ชมนิทรรศการแล้ว ก่อนเดินออกมาผมก็ประทับใจกับภาพนี้มากครับ 

ผมขอเรียกว่า "บันไดทางเลื่อนสำหรับผู้พิการ"
นี่คือสิ่งที่ห้างดังๆแถวนั้นแทบไม่มีให้เห็นเลยครับ ผมดีใจมากที่หอศิลป์แห่งนี้สร้างมาเพื่อคน ทุกรูปแบบจริงๆ เพราะมันคือ บันไดเลื่อนสำหรับผู้พิการครับผม ^_^



"ดาวดวงนี้อาจอยู่ยากขึ้นทุกวัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความฝันของฉันเลยว่ะ"
ไม่ทราบชื่อศิลปิน ผมต้องอภัยมา ณที่นี้ด้วย 

และท้ายสุดก่อนเดินออกมาจริงๆๆคือภาพตรงทางเชื่อมที่เขียนว่า 
"ดาวดวงนี้อาจอยู่ยากขึ้นทุกวัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความฝันของฉันเลยว่ะ"

ตอนแรกคิดว่า ทริปนี้จะจบลงแล้ว แต่ ยังครับ ยังก่อน ยังมีอีกที่ที่ยังไม่ได้เข้าไป เราจึงตัดสินใจ เดินทางไปยัง MAGNUM CAFE !!!!!

 เมื่อเดินทางไปถึง เราพบว่า คนเยอะมากกกกกกกกกกก (มากกว่าตอนเช้าที่เรามาซะอีก -_-' )
ผมกับเพื่อนเลยคิดว่า ช่างมัน รอคนเลิกเห่อก่อนค่อยมากินก็ได้ฟร่ะะ ซึ่งในตอนนั้นเอง ก็มีพนักงาน เดินมาถามพวกผมว่า มีอะไรให้ช่วยไหมค่ะ (สวยนะคนนี้ หึๆ) เราก็บอกว่า อยากทาน MAGNUM แต่คิวยาวไปคงไม่ทาน พนักงานเลยบอกว่า "อ้อ คิวที่ยาวเป็นของฝั่งร้านอาหารค่ะ แต่ฝั่งของ MAGNUM ที่ลูกค้าสนใจตอนนี้คิวว่างค่ะ" นั่นเท่ากับว่า พวกผมปล่อยไก่ตั้งแต่ตอนเช้าแล้วนี่หว่า (ถ้างง กลับไปอ่านข้างบนเลยครับ) สรุปก็คือ ร้านนี้ แบ่งเป็นสองฝั่ง คือฝั่งร้านอาหาร ที่ลูกค้าต่อคิวยาวมาก กับฝั่งลูกค้าที่อยากทานแต่ MAGNUM ซึ่งคิวไม่ยาวเลยสักนิด (เหยดดดดดด) ด้วยเหตุฉะนี้ พวกผมจึงตัดสินใจลองเข้าไปขอเมนูมาครับ และก็ได้ใบนี้มา 

ใบเมนู มีทั้งแบบ แนะนำ หรือผสมมั่วๆตามใจ

นี่เป็นใบเมนูของทางฝั่ง MAGNUM ไอติมนะครับ  โดยมีสองแบบ ให้เราเลือกคือ
1. แบบเป็นเมนูให้เสร็จเลย มี่ 4 รายการครับ
2. เป็นแบบที่เราเลือกเองได้ตามใจชอบครับ
  โดยเมื่อเราเลือกแล้วก็ไปชำระเงิน ตรงที่เราไปขอใบเมนูนั่นแหละครับ เข้าก็จะประทับตราว่าจ่ายแล้ว ให้เราไปยื่น ที่ ช่องทำอาหาร (ตรงกลางร้านนั่นแหละครับราคา 80 บาท ถ้าเพิ่มTopping คิดรายการละ15 บาท) แล้วเขาก็จะรับใบเมนูไป แล้วฉีกตรงหัวมุม มาให้เรา จากนั้นก็รอกเรียกแล้ว ดื่มด่ำกับ ไอติม MAGNUM ได้เลย อ่าาาาาาาาาา รอ

ผมใช้เวลาไม่นาน ก็ไดรับการเรียกชื่อ โดยพวกผมได้สั่งดังนี้

เพื่อนผม สั่งเมนูสำเร็จ NIGHT & DAY แบบนี้

ตั้งใจจะถ่ายก่อนกิน ไม่ให้ถ่ายเล้ยย เลยได้ภาพนี้มาแทน -_-'

ส่วนผมสั่งแบบตามใจ คือ
Dark Chocolate
 Toppings มี Pink Heart & Brownie และ Dried Cherry
ซอสเป็น White Chocolate 

แหมม น่ารักเหมือนคนสั่ง จริงๆ กร๊ากกกกกกกก

ถ้าไม่ถูกหวยนี่ จะไม่กินเด็ดขาดล่ะครับ
หลังจากลองชิมไปแล้ว (พอดีตอนชิมถ่ายเป็น VDO ไว้ เชิญชม ปล.ทำไมต้องถ่ายแนวตั้ง ทั้งที่ควรถ่ายแนวนอน ขอบอกว่า "ไม่อะ ผมแนว ผมติส ที่สำคัญ ผมหล่อ!!!")


น่าทานมากกกก

บรรยากาศภายใน ฟินจริงๆ



ถ้าอยากด่าใครก็รูปนี้เลยครับ มือเป็น ดอกไม้นะครับ หุๆๆ (ของดีๆทำเสียหมด)

ตรงนี้แหละครับที่เราต้องเอาใบเมนูที่ชำระเงินแล้วมายื่น


ลีลาการทำของพนักงาน รวดเร็วมาก สวยงามครับชอบบบ ไอติมนะ




เมนูอื่นๆก็มีให้เลือกนะครับ ไม่ใช่มีแค่ ไอติมอย่างเดียว

ปิดท้ายแล้ว เราก็ต้องมีการถ่ายรูปร้านเป็นที่ระลึกสักหน่อยสิครับ

"ข้ามาเยือนแล้ว 555"
ก็คิดมานานว่าทำไมต้องหันหน้า หันหลังกันดีกว่านะครับ

หน้าบานนนนนน

ขอแบบ พาโนรามา หน่อยเถอะ


นี่แหละครับ สรุป ทริปนี้เดิน กิน เที่ยว รอบสยาม วันนี้ ทำให้รู้ว่า สยามมีอีกหลายอย่างที่ไม่ใช่แค่ ห้างๆๆๆๆ นะครับ ลองเดินออกจาห้างบ้างก็ได้ คุณจะรู้ว่าโลกมันกว้างเหลือเกินครับ














วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

Review : ZERO DARK THIRTY - ยุทธการถล่ม บิน ลาเดน "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"





(อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนนะครับ)
หลังจากที่รอคอยมานานพอสมควรแล้ว ในที่สุด หนังที่กำกับโดย ผู้กำกับหญิงรางวัลออสการ์คนแรก(และอดีตเมียของ เจมส์ คาเมรอน) แคทลีน บิเกโลว์ เรื่อง ZERO DARK THIRTY - ยุทธการถล่ม บิน ลาเดน ก็ได้เข้าฉายเป็นรอบพิเศษ เพียงแค่สามที่เท่านั้นตั้งแต่ วานนี้ (17 มกราคม 2556) รอบ 20.00 น. ได้แก่ พารากอน , SF WORLD และ ลิโด้ ซึ่งผมได้ไปดูที่ลิโด้ เพราะเหตุผลส่วนตัว แต่ก็ต้องมีอึ้งนิดนึงตรงที่ แม้จะเป็นลิโด้ แต่คนเยอะมากเกือบเต็มโรงเลยครับ




ตั๋วหนังของลิโด้ รอบแรกของบ้านเราเลยนะ ฉายตอน 20.15 (ถามคนที่ดูที่อื่น ฉาย เกือบ 20.30)

  เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันดีกว่า  หนังเรื่องนี้ปะหน้าว่าเป็น เรื่องที่สร้างมาจากคำให้การของพยานในเหตุการณ์จริง และเริ่มต้นด้วยเสียงจากเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งผู้ชมจะได้ยินแต่เสียง ในขณะที่จอภาพเป็นสีดำ น้ำเสียงที่สับสนวุ่นวาย เสียงของคนที่กำลังจะตาย ผู้ประสบเหตุในเหตุการณนั้น และหายไป ภาพตัดกลับมา ใน 2 ปีให้หลัง ซึ่งเปิดตัว มายา (Jessica Chastain ) และ แดน (Jason Clarke) กำลังซ้อมนักโทษ ชื่อ แอมมาร์(Reda Kateb) หนึ่งในผู้ต้องหา และภารกิจนี้มีเป้าหมายเดียว คือ บิน ลาเดน 



 การสืบสวนและการตามล่าตัวของบิน ลาเดนนั้นหนังแสดงให้เห็นถึงความพยายาม อย่างเต็มรูปแบบ ทั้ง คน เงิน เทคโนโลยี แต่แล้วความผิดพลาดเพียงนิดเดียว ก็นำไปสู่ช่วง 30 นาทีสุดท้ายในภารกิจเด็ดหัวบิน ลาเดน 
 จุดเด่นในหนังเรื่องนี้ที่ผมชอบคือ บทสนทนา ที่ตลกช่วยลดความเครียดของบทหนังและที่เจ๋งคือมันไม่ทำลายเนื้อหาเลย แต่ช่วยให้หนังไม่เครียดเกินไปนัก (หนังเครียดโคตรรรรรรรร) และที่สำคัญหนังยังนำเสนอฉากการทรมาน อย่างแสนสาหัสเพื่อให้นักโทษเปิดเผยข้อมูลที่ถึงแม้จะไม่แหวะ แต่อารมณ์ โหดร้ายกลับตั้งคำถามให้เราว่า "ถ้าเราต้องทำถึงขนาดนั้นเพื่อให้ได้ข่าวสาร แต่มันทำให้เราไม่ต่างจากนักโทษ เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ " เห็นได้จากเหตุการณ์ ช่วงครึ่งหลังของหนังที่แสดงให้เห็นว่า การกระทำแบบนั้นส่งผลเสียอย่างไร ในแง่ของหน้าที่ การงาน และผลพวงที่ทำให้เหตุการณ์พลิกผันจนต้องใช้ ยุทธวิธีอื่นในการตามล่าตัวบินลาเดน 


  ผกก. แคทลีน ยังได้สร้างผลงาน ที่ดุดันและจริงจังเหมือนอย่างที่เคยทำใน THE HURT LOCKER และทีมนักแสดงก็ได้ทำหน้าที่ดีอย่างที่ผมตั้งความหวังไว้นะครับ 
 โดยรวมหนังมีเนื้อหาที่หนักแน่น แต่กราดำเนินเรื่องนิ่งไปนิดนึง ไม่ค่อยมีฉากบู๊ มากนัก แต่นั่นไม่ได้หมายถึงหนังไม่สนุกนะครับ หนังสนุกที่สถานการณ์และบทพูด ยกตัวอย่างมาสักบท เช่น ฉากที่ CIA ที่ผู้อำนวยการ ถามถึงความรู้สึกที่ผู้ร่วมงานมีต่อนางเอกว่ารู้สึกอย่างไร
"คุณคิดยังไงกับเธอคนนี้"
"เธอฉลาดเป็นกรด" 
"เราทุกคนในที่นี้ฉลาดหมดแหละ" 
ผมขำนะคิดดูสิ CIA นะครับ จะรับเด็กกะโหลกกะลาหรือไง 

สรุป 
นี่คือหนังที่น่าดูชมอย่างยิ่ง กับคนที่ชอบหนังแนวสงครามที่ไม่ค่อยมีฉากถล่มกันมากมายครับและแน่นอน หนังไม่มีการเมืองนะครับ ดูได้สบายๆๆ (ฮาาาาาา)

   ปิดท้ายกับฉากนี้ครับที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว ชอบตรงไหนลองไปดูแล้วคิดกันเองนะครับ 


ปล.
หนังเรื่องนี้ จัดฉายรอบพิเศษ แค่สามที่เท่านั้นนะครับ คือ พารากอน,SF WORLD และลิโด้ รอบ 20.00 น.  และฉายจริง สิ้นเดือน ส่วนเรตหนัง 15+ ครับ
(ไม่รู้จะบอกทำไมเรตหนัง จัดไปก็เท่านั้น)