วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Review จานร้อน ของ iPad Air : อีกขั้นของความบางและเบา (บางเบาไปไหนฟร่ะ!)

      




Review จานร้อน ของ iPad Air
 : อีกขั้นของความบางและเบา (บางเบาไปไหนฟร่ะ!)

จากที่วันนี้จะสงบๆ กลายเป็นว่า มีลูกค้าใจดี เดินมาพร้อมกับ iPad Air ให้รีวิว เล่นๆ ซะงั้น กระผมเลย ขอโอกาส มารีวิว แบบร้อนกันหน่อยนะครับ

แน่นอนว่าหลังจากเปิดขายแปปเดียว iPad Air ก็ข้ามทะเลมาให้ชาวไทยได้ยลโฉมกัน ครับ เมื่อผมได้โอกาสก็เป็นดังนี้แล


แน่นอนว่าขนาดของมัน มีขนาดที่เล็กลง เปรียบเทียบกับ iPad4 แบบชัดๆครับ จะเห็นเลยว่า ด้านขอบ ถูกตัดให้เล็กลง


ภาพด้านข้างจะเห็นว่า Air บางกว่าอย่างเห็นได้ชัด


บางมว้ากกกกกก


ลำโพง สเตอริโอ ที่กลายเป็นปัญหาเวลาเล่นเกมส์ หรือดูหนังในทันที





ภาพถ่ายขนาดเต็มที่มันชัดมากกกกกกกก


INFITY BLADE III เล่นได้ชัดเจน มันส์สะใจ ร่องก้นมากๆนะ ขอบอก

เล่นแบบ ไม่เกรงใจลูกค้าเลยทีเดียว หุๆๆ


สรุปโดยรวมแล้ว มันคือ iPad ที่บางมาก และ เพิ่มลูกเล่นมากขึ้นในด้านของ Design และแน่นอน มันคือ iPad ที่ดีที่สุดในตอนนี้

ข้อดี 
บางเบา แบตอึด โคตรๆ เทียบกับขนาด 
ข้อเสีย 
ลำโพง สเตอริโอ ไม่เหมาะอย่างยิ่งเวลาเล่นเกมส์หรือจับคู่สองด้านเพราะว่า มันจะปิดลำโพงเรียบร้อยเลยล่ะครับ





















วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รีวิว EVANGELION ต้อนรับการกลับมาของ 3.0

    ในเดือนสิงหาคมนี้ จะมี อนิเมะจากญี่ปุ่นเรื่องนึง ที่ผมรอคอยมานานมากกกกกกก (ฉายที่บ้านเขา ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ส่วนภาคก่อนก็ฉาย ตั้งแต่ปี 51 มั้ง ) นั่นคือ



.....รอคอยเธอมาแสนนานนนนน ทรมาน วิญญาณหนักหนาาาา

อีวานเกเลี่ยน หรือ เอวานเกเลี่ยน(ตามที่ สนพ.สยาม อินเตอร์ คอมส์มิค เขียน)
 เป็นการ์ตูนที่ได้รับความนิยม มากในตอนเปิดตัว ด้วยเนื้อหาที่กล่าวถึง ศาสนา และวิทยาศาสตร์ 
โดยเนื้อเรื่องคร่าวๆ ก็มีดังนี้ครับ
 อิคาริ ชินจิ ได้รับการติดต่อจาก คุณพ่อ อิคาริ เกนโด ให้มายังเมือง นีโอ โตเกียวที่3 ซึ่งในวันนั้น ก็ได้มีสิ่งมีชีวิตประหลาด บุกมาโจมตีเมือง แต่โชคดีที่มีหญิงสาวชื่อ คัตซึรางิ มิซาโตะ มาช่วยไว้ ซึ่งเธอคือ หัวหน้าฝ่าย วางแผนการรบ ของ เนิร์ฟ (NERV) และเรื่องราวการต่อสู้เพื่อปกป้อง มนุษยชาติ ได้เริ่มต้นขึ้น


อายานามิ เรย์

     การ์ตูนเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งส่วนนึงมาจากเรื่องราวที่จริงจัง และ การเล่าเรื่องราวที่ไม่ได้โลกสวยเหมือนการ์ตูนทั่วไป...(ถึงแม้จะดูว่าตลกบางฉากก็เถอะ)
  ซึ่งเรื่องราวที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้นี่แหละที่ผมรู้สึกว่าทำให้ ประสบความสำเร็จ

- ตัวละครที่มีความหลัง.....
ถ้ามีใครได้ดูอนิเมะ...(จริงๆจะบอกว่าอ่านด้วย แต่พอดีบ้านเรามันยังไม่จบอ่ะ)..เรื่องนี้ จนจบจะพบว่าถึงช่วงแรกของ อนิเมะ จะดูกาตู้น การ์ตูนไปหน่อย....คือดูธรรมดาน่ะ แต่เมื่อดูๆไปจะพบว่า หนังได้เริ่มเล่าเรื่องราวของแต่ละตัวละคร ว่าพวกเขา ไม่สมบูรณ์แบบ เลยแม้แต่คนเดียว เช่น

สปอยส์ .....
ชินจิ 
       พ่อไม่รัก แม่ตาย ไม่กล้าเข้าใกล้ใครเพราะกลัวความเจ็บปวดเมื่อสูญเสียคนๆนั้นไป ยิ่งช่วงหลัง นี่ยิ่งไปกันใหญ่ 
อาสึกะ
       ไม่มีพ่อ (เธอเกิดจาก น้ำเชื้อในธนาคารสเปิร์ม) แม่เป็นบ้า(เพราะอยากมีลูกแบบธรรมชาติ) ปิดบังความอ่อนแอ ด้วยการแสดงออกแบบหยิ่งยโส ไม่สนใจใคร จนช่วงหลัง เธอรู้สึกว่าไม่มีค่า จนช็อก เป็นเจ้าหญิงนิราเลยทีเดียว 
เรย์
    มองตัวเองเป็นเครื่องมือ ถึงตายไป ก็มีคนอื่นมาแทน แต่ภายหลังก็รับรู้ว่า ความรู้สึกที่มีต่อชินจิ คือความรัก ซึ่งตอนนั้นก็ดันเป็นช่วงที่ถูกเทวฑูตเข้าครอบครองร่าง เธอจึงตัดสินใจระเบิดตัวเองตายไป..... ส่วนตัว ในมังงะ ฉากนี้เป็นฉากที่สะเทือนใจผมมากฉากนึง T_T
มิซาโตะ
     มีปม เกลียดพ่อมาแต่เด็ก เพราะทำแต่งานจนภรรยาขอหย่า...(ถ้าจำไม่ผิดนะ) แต่ตอนที่เกิด Second Impact ก็ได้พ่อคนนี้ช่วยช่วยชีวิตเอาไว้ เธอจึงรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียด รวมถึงความรู้สึกเจ็บปวด ซึ่งจากเหตุการณ์นั้น ได้ทิ้งรอยแผลเป็นทั้งร่างกาย และจิตใจไว้
ริตสึโกะ 
    แม่มีความสัมพันธ์ ลึกซึ้งกับ เกนโด แถมตัวเองก็รักเกนโดอีก.....
คาจิ เรียวจิ
   ตัวละครตัวนี้ ถ้าดูอนิเมะ จะคิดว่าไม่มีปมอะไร แต่ถ้ามังงะล่ะก็ เขายอมบอกที่ซ่อนของน้องชาย เพื่อให้ตัวเองรอด นั่นเป็นตราบาปของเขา.....
มีอีกเยอะ แต่พอก่อน ที่เหลือไปตามเอานะครับ


 -เรื่องราวที่เข้มข้น
     แน่นอนว่าคนที่ได้ดู ทั้งมังงะ และอนิเมะ จะเข้าใจเนื้อหาได้มากกว่าคนที่ไม่ได้อ่าน เอาเป็นว่าผมจะสรุปสั้นๆนะครับ

เนื้อหาของหนัง กล่าวอ้างถึงศาสนา คือ เทวฑูต และเรื่องราวการสร้างโลก ผสานเข้ากับ วิทยาศาสตร์ ....คนสร้างมนุษย์เทียม(อีวานเกเลี่ยน) เพื่อต่อสู้ กับ สัตว์ประหลาด ที่เรียกว่า เทวฑูต ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้พัฒนาไปพร้อมกับตัวละคร ที่เราจะเห็นการพัฒนามากขึ้นจนถึงจุดที่ใกล้จบ ซึ่ง มันก็เหมือนเป็นการเริ่มต้น สู่บทสรุปที่ คาดเดาตอนจบไม่ได้..

เอาล่ะเกริ่นมาสักพัก เราก็มาดูกันสิว่า ในภาคต่างๆตอนนี้มันไปถึงไหนกันแล้ว เอาเนื้อเรื่องหลัก เสริมไม่นับ
- มังงะ ที่ญี่ปุ่นจบไปแล้ว....แต่บ้านเรา น่าจะเล่ม 12 นะ นับถึงวันนี้นะ 12 สิงหา 
- อนิเมะ TV จบแล้ว....สองตอนสุดท้าย เหวอ เงิบ เลยทีเดียว
- ภาคใหม่ Rebuild ตอนนี้ มีโครงการ 4ภาค ในบ้านเรา ฉายไป สองภาคแล้ว รอภาคสาม วันที่ 15 นี้ครับ
โดยภาคสอง จบลง ที่ การมาของ Mark 6 ซึ่งไม่มีใน มังงะ ทำให้มั่นใจได้ว่า เนื้อหา หาไม่เหมือยเดิมแน่นอน .....อดใจรอนะครับ อีกไม่กี่วัน หุๆ

ส่วนใน Rebuild ที่เป็นที่กล่าวถึงอีกเช่นกัน คือ เพลงประกอบที่ได้นักร้องสาว ชื่อก้องกังวาล อย่าง UTADA HIKARU หรือ HIKKY มาทำเพลงปรกอบให้ นั่นเอง โดยในสองภาคแรก อย่าง You are (NOT) Alone และ You can (NOT) Advance ก็มีเพลงอย่าง Beautiful World (ภาคแรกเพลงปกติ ภาคสอง ออกแนว อคูสติก) 
ฟัง ตัวอย่างได้จาก Link นี้ครับ
https://itunes.apple.com/th/album/beautiful-world/id402933582?i=402933622
โดยเนื้อหานั้นกล่าวถึงโลกใหม่ที่สวยงาม 
เนื้อเพลงที่แปลแล้ว ประมาณนี้ครับ
http://marnnoi.exteen.com/20090407/trans-beautiful-world-by-utada-hikaru
  
   ส่วนในภาค ใหม่ You can (NOT) Redo (อ่านว่า รีดู แปลว่า ทำซ้ำ) นั้นก็ยังได้ เพลงอย่าง Sakura Nagashi มาเป็นเพลงประกอบด้วย เช่นกัน 
ฟัง ตัวอย่างได้จาก Link นี้ครับ
https://itunes.apple.com/th/album/sakura-nagashi-single/id576139166
โดยเนื้อหาของเพลง กล่าวถึง ความเจ็บปวด ที่มาถึงอย่างรวดเร็วแบบคาดไม่ถึง
เนื้อแปลก็ประมาณนี้
http://ayafilreal.exteen.com/20121117/evangelion-3-0-utada-hikaru-sakura-nagashi

รวมๆแล้ว ผมเชื่อว่า คนที่เป็นสาวก อีวา คงโหลดบิทมาดูแล้วแน่ๆละ (หุๆๆๆ) แต่เมื่อ TIGA ได้นำมาเข้าฉาย ก็อย่าพลาดชมเน้อ 
15 สิงหาคมนี้ จัดไปปายยยยยย








วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

 บทความพิเศษ......(ความรักและความตาย)



   ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ คนรอบๆข้างผม มีข่าวดีมากมาย  ทั้งเรื่อง มีลูก แต่งงาน ได้งานใหม่
แต่ในขณะเดียวกัน เพื่อนผมคนนึง ก็ได้สูญเสีย พ่อ อันเป็นที่รักไป วันนี้เลย อยากจะขอบ่นอะไรให้กับคนที่หลงลืมอะไรบางอย่างในชีวิตไปสักหน่อยนะครับ 
ปล. บทความนี้ ออกมาจากอารมณ์ และความคิดเป็นหลัก ซึ่งค่อนข้าง จะงงมากๆ เพราะผมคิดแล้ว เขียนเลย ไม่มีตรวจทานอะไรทั้งนั้น ใครไม่เข้าใจ ก็ขอโทษด้วยนะครับ


   
   ในชีวิต ของคนเรา เราสามารถกำหนดสิ่งต่างๆ ได้มากมาย แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถ
กำหนดหลายๆสิ่งได้เหมือนกัน เช่น ความตาย
   เป็นเรื่องตลกนะครับที่ชีวิตของคนเรา มักจะมองว่า การแต่งงาน คือความสุข และความตาย คือความเศร้า ผมก็ยอมรับว่า มองแบบนี้เหมือนกัน แต่ในอีกมุมมองนึง (ผมชอบมองหลายๆมุมนะ)
 การแต่งงานบางที ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าได้เหมือนกันนะ เช่น เริ่มกังวลสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในอนาคต เราจะผ่านไปได้ไหม? แบบนี้เป็นต้น
 ในขณะที่ ความตาย มองแง่ดี คนที่เรารัก ก็ได้หลับสบายแล้ว ไม่ต้องมีอะไรลำบากใจเขาอีกต่อไป
เหลือแต่คนที่อยู่ข้างหลังอย่างเรานี่แหละ ที่ ต้องสู้ต่อไป ในโลกที่เป็นดั่งโรงละคร โรงใหญ่และเราก็เป็นเพียงตัวประกอบ ในละครบทนี้

   ความตายเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตจริงหรือ? อาจจะจริง แต่ในมุมของผม คนที่เรารักอ่ะ ไม่ได้จากเราไปไหนหรอก คุรตื่นมามองกระจกสิ คุณลองกอดตัวเองสิ นั่นแหละ เขายังอยู่ข้างๆคุณเสมอ  อันที่จริง เขาอยู่ในตัวคุณเสมอนะ พวกเขาจะไม่จากคุณไปไหนหรอก ตราบใดที่คุณยังนึกถึงเขาเสมอ 

  สำหรับคนที่ไม่อยากเสียใจก็จง รีบไปบอกคนที่รักซะ เดี๋ยวถ้าไม่มีโอกาสจะมาเสียใจ มันก้ไม่มีประโยชน์หรอกนะครับ อยากทำอะไรรีบทำ ไม่ต้องสนว่ามันจะดีไหม? ขอแค่ให้ได้ทำก็พอแล้วครับ 
  โชคดี
   

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

ขอสักนิด กับ Steve Jobs

   หลายๆคน คงจะจำผมได้(มั้ง) จากรายการแฟนพันธุ์แท้ ตอน Steve Jobs  ผมก็เลยอยากเล่า เรื่องราว ความรู้สึกที่ผมมีกับ ศาสดา คนนี้ สักหน่อย.....
   ตอนที่ผมรู้จักกับ Apple ครั้งแรก ต้องย้อนไปตั้งแต่ สมัย ม.ปลาย (ดูแก่เนอะ) ตอนนั้น ผมได้เจอโฆษณา ของ MacBook

Mac Book ตัวนี้แหละ ที่ทำให้ผมรู้จักกับ Apple 

ด้วยสาเหตุที่ว่าตอนนั้น บ้า Computer มาก เลย ซื้อ หนังสือ Computer Today มาอ่าน แล้วก็ ป๊ะ กับ โฆษณา ตัวนี้เข้าให้ ซึ่งตอนนั้น ขอบอกว่า ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆ ก็เลยลองค้นหาข้อมูลดู แล้วก็พบว่า มันคือ Mac Book    จาก Apple ของ Steve Jobs แต่เมื่อเปิดดูราคาก็......
                              กริ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!
โคตรแพง คอมบ้าอะไรว่ะ ราคาตั้งเกือบ สี่หมื่น จะบ้าตาย หลังจากนั้นเวลาผ่านไป ผมก็ไม่สนใจ เจ้า Mac เครื่องนี้อีกเลย จนกระทั่งมาเรียนต่อที่ กรุงเทพ เมืองฟ้า หม่น (ควันรถ)
ผมก็ไปเดินเล่นที่ Central world (ตอนยังไม่โดนเผานะ หุๆ) แล้วก็ไปเจอกับร้าน i-Studio ที่นั่น แล้วก็เห็นว่าเขาตั้ง MacBook ตัวที่ผมเคยเจอในหนังสือตัวนั้นอยู่ด้วย (ลองนึกภาพว่า ทุกอย่างรอบตัวมืด แต่มีไฟส่องลงมาตรงเจ้าเครื่อง Mac สิครับ Fin........) 
     หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของผม ก็ได้พัวพันกับเจ้า Apple ลูกนี้พร้อมกับได้รู้จัก ขบถแห่ง ซิลิคอน วัลเลย์ นาม Steve Jobs ..... (โปรดติดตาม ตอนต่อไป )


วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556



 เมื่อผมกลับมาเรียน (ช่วงสุดท้าย) 



 ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัยรามคำแหง" หลายคนคงได้แต่มองว่า เป็นมหาวิทยาลัยที่ เข้าง่าย ออกยาก มากกก ก็ถูกนะครับ (ฮาาาาาา) แต่นั่นก็ส่วนนึง อีกหลายๆส่วน ก็เหมือน ที่อื่นๆ มีการสอนแบบเช็คชื่อ บ้าง ไรบ้างครับ

 วันนี้ผมเขียนบ็อกตอนนี้เพื่อจะบันทึกไว้ว่า ในที่สุด ผมก็เดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย ของการเรียน ในระดับ ป.ตรีแล้ว (เย้ๆๆๆๆ) หลังจากใช้เวลามานานกว่า 6ปี โดยผมจะเริ่ม อัพเดตไปเรื่อย ๆครับ



วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เลือก Mac แบบไหนให้ตรงใจคุณ ตอนจบ

 เลือก Mac แบบไหนให้ตรงใจคุณ ตอนจบ

  หลังจากที่ตอนที่แล้ว ผมได้แนะนำเกี่ยวกับ เครื่องคอม แบบพกพา ของApple ในนาม MacBook ไปแล้ว ในตอนนี้ผมก็จะขอนำเสนอ ในฝั่งของ Desktop กันบ้างนะครับ ในนาม Mac mini , iMac และ Mac Pro ครับ

Mac mini

   ด้วยการดีไซด์ ที่เรียบง่าย ของ Mac mini (จริงๆมันก็ทุกรุ่นแหละ) หลายคนเลยสงสัยว่า มันคืออะไรฟร่ะ???
  ถ้าจะให้เปรียบง่ายๆ มันก็คือ ตัวเคส อันใหญ่ๆ แบบนี้อ่ะครับ




โดยเจ้า mini ตัวนี้ อัดทุกอย่าง ให้มีขนาดเหลือเพียงแค่นิดเดียว ด้วยสเปก แบบ มาตราฐานทุกอย่าง เหมาะกับคนที่เริ่มเล่น Mac และมี คอมพ์ตั้งโต๊ะอยู่ที่บ้านครับ เพราะการติดตั้ง และความเป็น Apple ส่วนคีย์บอร์ด กับหน้าจอใช้กับของเก่าได้เลยเกือบทุกรุ่นครับ ง่ายไหมล่ะ ทำให้ทุกอย่างมันง่ายจริงๆ นี่แหละ Apple เขาเลยล่ะ
 ส่วน Port เชื่อมต่อก็มีมาให้ดังนี้ครับ 



    ไล่มาตั้งแต่ USB 3.0 , HDMI , Thunderbolt ,สายเสียบลำโพง ,Firewire ,Lan และ SDXC  ประมาณนี้แหละครับ ถือว่าเหมาะ กับการเริ่มต้นการใช้งาน Mac ครับด้วย ด้วยราคาที่ต่ำที่สุด ในตระกูลMac และความสามรถที่มีให้มาแบบ มาตราฐานสุดๆ ครับ



ข้อมูล รายละเอียด ของ Mac mini 



  สรุปข้อดี
 - เล็ก ประหยัดพื้นที่สุดๆ
 - ราคาต่ำที่สุดในตระกูล Mac
 - Port เชื่อมต่อ แบบมาตราฐานมีมาให้ครบ
 - พกพาสะดวก(เคยมีคนซื้อไปแล้วพกพาเลยนะ โดนมากับตัว)
 - สวย .......แป้ก.
  ข้อด้อย
 - แน่นอน แม่งมาแค่เนี้ย ไม่มี คีย์บอร์ด หน้าจอ (เพราะใช้กับของเก่าได้)
 - อัพสเปกทีหลัง ได้แค่ HDD กับ Ram
 - แน่นอนว่า มันคือ Apple ที่ไม่ ช่ิงใส่ CD มาด้วยนะครับ ซื้อแยกกกกก

สรุปแล้ว เหมาะกับใคร
  Mac mini เหมาะกับคนที่ อยากเริ่มใช้ Mac แต่สู้ราคาสูงไม่ไหว และมีคอมพ์ตั้งโต๊ะอยู่แล้ว (หรือซื้อต่อทีหลังก็ได้) เพราะ มันมี "แทบ"ทุกอย่างที่ ควรมีเลยล่ะครับ



iMac





  iMac คือ Pc ที่ขายดีที่สุดของApple  แต่บางทีมันก็พกพาได้นะ (ใครจะพกฟร่ะ!) 6ใน10 ของคนที่ใช้คอม์ตั้งโต๊ะ ของApple ก็รุ่นนี้ล่ะครับ โดยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา Apple ได้อัพเดพ iMac รุ่นใหม่ให้เบา และบางขึ้นชนิดที่ว่า บางไปไหน

ภาพงานเปิดตัว iMac
iMac นั่นหลายๆคนที่ยังไม่รู้จัก mac อาจจะสงสัยว่า ทำไมมันมีแต่หน้าจอ? และCPU เคส ล่ะไปไหน คำตอบคือ มันอยู่ในหน้าจอนั่นแหลครับ! จริงๆ มันอยู่ในหน้าจอเลย เพราะApple อัดเกือบทุกอย่างไว้ในหน้าจอหมดแล้วครับ เพื่อความสะดวกของผู้ใช้ แต่ทีว่าเกือบทุกอย่างเพราะ มันไม่ใช่หน้าจอสัมผัสนะ (...เชื่อว่าหลายๆคนเคยเอานิ้วจิ้มหน้าจออ่ะ หุๆ) และไม่มีช่ิงใส่ CD อีกต่อไปแล้วครับ เพื่อทำให้เครื่องมันบาง
 โดยอุปกรณ์ที่มีมาพร้อมนั้น แน่นอน Keyboard และ Mouse ไร้สาย (สามารถสั่งเปลี่ยนได้ครับ แต่อนนไลน์นะครับ) ปลั๊กไฟแบบสามตา แค่นี้แหละ น้อยแต่เยอะด้วยคุณภาพ

ดูชัดๆขนาดของ 21 นิ้ว (หน่วยเป็นนิ้วนะครับ)
สเปกพื้นฐานของรุ่นใหม่ ทั้ง 21 และ 27 นิ้วตามนี้เลยครับ

สเปกพื้นฐานของ iMac Late 2012
แน่นอนว่าด้วยสเปกพื้นฐาน ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้วแน่นอนครับผม แต่หากต้องการอัพเพิ่มก็จัดไปตามความสะดวกของท่าน แลกระเป๋าของท่านนะครับ ^^

ข้อดี
- เบา บาง พกพาสะดวก (มีคนพกจริงๆนะ)
- ประหยัดพื้นที่เพราะทุกอย่างอัดอยู่ที่หน้าจอแล้ว
- สเปกที่ให้มามาตราฐานขนาด เล่น Crysis ได้เลยนะ 
- เป็นรุ่นที่สามารถ อัพเป็น Fusion Drive ได้ (Mac miniก็ได้แต่ ใครอยากอัพจริงไหม?)
ข้อด้อย
- ดูแลรักษายาก (คือถ้าจอแตกนี่ ข้างในอาจไปเที่ยวสวรรค์ได้เลยนะ)
- ไม่มี ช่องใส่ CD อีกต่อไปนะจ๊ะ
- ราคาอลังการงานสร้างสุดๆ

iMac เหมาะกับใคร?

สรุปแล้ว iMac เหมาะกับคนที่ต้องการคอมพ์ตั้งโต๊ะ ตัวใหม่ไปเลยครับ และกับคนที่ต้องการ ตัดต่อหนัง เพลง นี่แหละครับคือคำตอบที่ใช่ครับผม

Stay Hungry, Stay Foolish นะครับทุกๆคน





วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

เลือก Mac แบบไหน ให้ตรงใจคุณ ตอนที่1



 หลายๆครั้งในการทำงานของผม มักจะโดนลูกค้าถามเสมอว่า "ถ้าพี่จะซื้อ Mac น้องแนะนำแบบไหน? "แล้วแบบนี้กับบบนี้ล่ะ?" "พี่มีคอมอยู่ที่บ้าน แต่อยากใช้Mac เอารุ่นไหนดี?" ซึ่งผมคิดว่า ในหลายๆครั้งคำแนะนำที่ผมให้อาจจะไม่ชอบ ก็ได้ด้วยเหตุผลอะไรหลายๆอย่าง ผมเลยคิดว่า การเขียน รีวิว แบบเกรียนของผมน่าจะช่วยทุกคนได้บ้าง ในการเลือก Mac ในแบบของคุณ แต่ก่อนที่ผมจะแนะนำ เราก็น่าจะมาลองดู แนวคิดและ ระบบของ Mac กันก่อนดีกว่าไหมครับ ????
(ไม่เอาประวัตินะ มันยาว เอาง่ายๆ แบบ มินิมอลลิสต์ ฮาาา )

ปล.นี่เป็น บทความจากความเห็นส่วนตัวล้วนๆ งดดราม่า นะจ๊ะ

Mac คืออะไร ?
 ตอบง่ายๆ Mac คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ของ Apple นั่งเองครับ โดย แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบ NoteBook และแบบ Desktop แล้วสองแบบนี่ต่างกันยังไง..... ลักษณการใช้งานมันก็บอกแล้วนะครับ

Steve Jobs กำลังเปิดตัว MacBook Air

  แบบ NoteBook เป็นยังไง?
 ในปัจจุบัน เครื่อง Mac แบบ NoteBook มีหลักๆ 2แบบ ครับ คือ MacBook Air และ MacBook Pro โดยตัวหลังแบ่งเพิ่มได้อีกรุ่นคือ MacBook Pro with Retina Display ครับ ซึ่งถือเป็นรุ่นสูงสุดของ แบบ NoteBook ครับผม
 ส่วนหน้าจอนั้นมีตั้งแต่ 11นิ้ว , 13นิ้ว และ 15นิ้ว ครับ

MacBook Air

  ผมขอเริ่มต้นด้วย NoteBook รุ้นเล็กของ Apple นามว่า MacBook Air



 MacBook Air เปิดตัวมาเป็น NoteBook ขนาดเล็ก ที่เน้นน้ำหนักเบา ประสิทธิภาพในการดึงข้อมูลสูง กว่ารุ่น Pro ถึง 2 เท่า (เขาว่ามา) มีขนาดหน้าจอ 11 และ 13 นิ้วครับ  โดยในแต่ละขนาดหน้าจอ จะแบ่งย่อยออกเป็น 2 Spec อีกครับ แบ่งง่ายๆแบบนี้

คุณสมบัติของMacBook Air ทั้งสี่รุ่นครับ
สรุปข้อดี
- เบามาก (11นิ้ว อยู่ที่ประมาณ 1กิโล 13นิ้วอยู่ที่ 1.5 กิโล ครับ)
- การดึงข้อมูลเร็วกว่ารุ่นพี่พอสมควรครับ เพราะใช้ HDD แบบ FLASH 
- Keyboard แบบเรืองแสงในความมืด เหมาะกับคนที่ต้องทำงานในที่แสงน้อย
- วัสดุเป็นอลูมิเนียม ความคงทนสูง
- ไม่ต้องปิดเครื่อง แค่พับหน้าจอ เข้าสู่โหมด Sleep ได้ทันทีโดยไม่มีผลต่อการทำงานของเครื่อง (เพราะรุ่นทั่วไป ใช้ HDD แบบจานหมุน ซึ่งถ้ากระทบ อาจทำให้เข็มหัก พังอีก จบ) Apple บอกว่า Stand By ได้นานถงึ 30 วัน (ไม่เคยลองนะเธอ)

ข้อด้อย
- Port เชื่อมต่อน้อยมาก เช่น ไม่มี Firewire 800 , HDMI และสาย LAN (ต้องซื้อหัวแปลงเพิ่มเติม) ช่องใส่ CD ก็ไม่มีนะ ซื้อแยก ช่องใส่ SD Card สำหรับ 13 นิ้ว เท่านั้น
- HDD ทีให้มาน้อยมากกกกกก เก็บข้อมูลได้ไม่เยอะเลยถ้าเทียบกับราคา ที่มหาศาล (แต่การดึงข้อมูลไวโคตร)
- ตัดต่อหนัง หรือ รูปภาพได้แค่แบบง่ายๆ แปลว่า Final Cut Pro จบนะครับ ไม่รอดด
- หน้าจอไม่มีกระจกติดแบบรุ่นใหญ่นะครับ (แหมมม เน้นเบานี่ ) ฉะนั้นต้องระวังอะไรไปทำร้ายหน้าจอนะครับ (เคยเจอนะครับ เปลี่ยนจอกระจายเลย)
- Spec เพิ่มทีหลังไม่ได้นะครับ ตายตัวมาเลย (สั่งเพิ่มได้ครับ)

  แล้วเหมาะกับใคร??
    MacBook Air เหมาะกับคนที่ต้องการความเบา ความสะดวกในการพกพา แม้ CPU จะน้อยกว่ารุ่นพี่ แต่มีดีที่ HDD แบบ FLASH (นึกไม่ออก นึกถึง FLASH DRIVE นะครับ คล้ายๆกัน) ทำให้ดึงข้อมูลได้เร็วมาก และน้ำหนักที่เบาหวิววววว ดังนั้น ถ้าอยากได้แบบ เบา เบา เน้นทำงานเอกสาร ตัดต่อ วีดีโอ นิดหน่อย ตกแต่งภาพง่ายๆ และไม่ติดใจเรื่อง HDD ที่โคตรน้อยยยย นี่คือคำตอบของคุณครับ







MacBook Pro


   มาถึงรุ่นยอดฮิตสนั่นลั่นทุ่ง (ไม่เชื่อลองเดินไปดูสิครับ เจอ 10 เครื่อง 7ใน10 แม่งก็รุ่นนี้แหละครับ) 
1 ใน NoteBook ที่ขายดีที่สุดในโลก (โม้เอง 555) 
 MacBook Pro ผมขอนิยามเป็น "NoteBook ราคาประหยัดของ Apple" ครับ เพราะด้วยราคาเริ่มต้น ที่ 3 หมื่นปลายๆ และเทียบ Spec ที่มาตราฐาน ที่สุดแล้ว พร้อม Port เชื่อมต่อ ที่มีให้เยอะจริงๆ 

 ไล่มาตั้งแต่ USB 3.0 Firewire800 สาย LAN ช่อง SD Card และ ช่องใส่ CD (Air น้อยใจเบยยยย )
แต่แน่นอน ว่า ต้องแลกมาด้วยน้ำหนักที่มากขึ้น (13นิ้วหนักประมาณ 2กิโล 15นิ้วหนักประมาณ 2.5กิโล)

สำหรับ MacBook Pro เนี่ย นอกจากหน้าจอของมันจะแบ่งเป็น 2 ขนาดแล้ว ทั้ง 2 ขนาด ก้แตกต่างกันพอควร ฉะนั้น จะขอแยกออกไปเลยนะครับ โดยเริ่มจาก 13นิ้ว


MacBook Pro 13นิ้ว

  จากรูปภาพจะเห็นว่า ตัว 13นิ้วนั้นแบ่งเป็น 2รุ่น ซึ่งทำให้การตัดสินใจง่ายมาก โดย รุ่นนี้ออกแบบมาให้ใช้งานพื้นฐานได้หมดเลย ทั้งตัดต่อ เอกสาร เกมส์ (แต่แน่นอนว่า เจอหนักๆ Final Cut ก็ไม่ไหวนะ) 
 ด้วยขนาดและ Port เชื่อมต่อที่เกือบครบ (ไม่มี HDMI VGA ซื้หัวแปลงแยกนะจ๊ะ) ทำให้มือใหม่ใช้ Mac เลือกที่จะซื้อตัวนี้มากที่สุด ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา แหละครับ

ต่อไปกับ MacBook Pro 15นิ้วครับ



MacBook Pro 15นิ้ว
 MacBook Pro 15 นิ้ว นับเป็นรุ่นที่ราคาสูงที่สุด (ไม่นับ Retina นะครับ อันนั้นขอแยกออกไป) ในสารบบ ของ Mac ด้วย Spec ที่สูง และ ประสิทธิภาพ นักตัดต่อ ทำหนัง เพลง ส่วนใหญ่เลือกที่จะสอยรุ่นนี้ครับ โดยจุดเด่นของรุ่นนี้คือ การ์ดจอแบบแยก ที่ทำให้การประมวลผลด้านภาพดีขึ้นมากกว่า รุ่น 13 นิ้ว หรือ Air ที่เป็นแบบ On Board ครับผม
 ต่อมาก็คือลำโพง ที่ ใหญ่มากกกกก ชอบเบยยย สำหรับคนที่ต้องการเสียงดังไป 3บ้าน8บ้านครับ

สรุปข้อดี
- ราคา และคุณสมบัติ มาตราฐาน สมเหตุผล
- หน้าจอมีกระจกกั้นไว้อีกชั้นนึงทำให้ป้องกันหน้าจอจริงๆ ได้พอสมควร
- Port เชื่อมต่อแบบต่างๆมีมาให้เกือบครบ ช่องใส่ CD ก็มีนะครับ
- วัสดุที่ทำมีความทนทานสูงครับ อลูมิเนียม นี่หว่า
- สามารถ อัพSpec ภายหลังได้ครับ HDD,RAM ประมาณนี้
ต่อไปเพิ่มเติมสำหรับ 15นิ้วครับ
- ลำโพงดังโคตรๆๆๆ
- การ์ดจอแยก อันนี้เด็ด สำหรับนักตกแต่ง ตัดต่อหนักๆ
- หน้าจอใหญ่ (เอ่อ เขาคิดไม่ออกง่ะ)
ข้อด้อย
- น้ำหนักมาก 13 2kg. , 15 2.5kg. (ประมาณนะครับ) ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการความเบา
- อลูมิเนียม ทำให้การดูแลยากนิดนึงเพราะถ้าเป็นรอยเช็ดออกยาก
- HDD ที่ให้มาเป็นแบบจานหมุน นั่นแปลว่า ถ้ากระแทกแรงๆเข็มหักได้นะเธอ (เปลี่ยนทีหลังได้)

แล้วเหมาะกับใคร
 MacBook Pro ทั้งสองรุ่นเหมาะกับคนที่ ต้องการความคุ้มค่าในการใช้งาน แบบ "ครบเครื่อง"
ทั้งราคา และคุณภาพ ด้วย การเชื่อมต่อแบบต่างๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยน้ำหนักที่มากขึ้น และ ความเร็วในการดึงข้อมูลที่ลดลง (HDD แบบหมุน หรือจะสู้ แบบ FLASH) ตัวนี้แหละครับที่เหมาะกับคุณ

เมื่อมาถึงตอนนี้ แล้วยังมีคนคิดว่า อยากได้ NoteBook ที่มันเจ๋งกว่านี้ มีอะไรให้ถลุงอีกไหม? ที่บบ้านรวยยย อยากเอาหนักๆ อ่ะ จัดไป กับรุ่นนี้ครับ โคตรพ่อโคตรแม่สุดๆกับตัวนี้ที่พึ่งเปิดตัวไม่นาน กับ




     นี่เลย รุ่นสุดๆ ของ MacBook นาม MacBook Pro with Retina Display ด้วยชื่อก็บอกแล้วว่ามันมีดีตรงไหน แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่า มันก็มีการเพิ่มขึ้นของหน้าจอที่คมชัดมากกกกก แล้วก็น้ำหนักที่เบา ขึ้น (13นิ้ว 1.5กิโล 15นิ้ว 2กิโล โดยประมาณ)
นอกนั้นก็เหมือนกันๆ กับรุ่นปกติครับ ฉะนั้นตัวนี้ผมจะขอละไว้ในฐานที่เข้าใจนะครับ


   เอาละครับ จบแล้วกับการรีวิว Mac แบบพกพา ครับ ชอบแบบไหน ก็ลองเอาไปประกอบการพิจารณานะครับ เพราะผมเชื่ออยู่แล้วว่าทุกคน มีความต้องการแตกต่างกัน ฉะนั้น บทความนี้อาจจะช่วยผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยครับ
  สำหรับตอนต่อไป ผมจะมาเล่าถึง Desktop นั่นคือ Mac mini , iMac และ Mac Pro ครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

โหมดเดินเล่น ตอน ตระเวนรั่วทั่วสยาม : จาก CTW ไปถึง ตลาดสามย่าน จบที่ BTS สยาม





   เรื่องของการเดินทางตะลอนทัวน์ในทริปนี้ มันก็เกิดจากเพื่อนกระผม นายนึงกำลังจะรับปริญญาแต่กระผมมิสะดวกอย่างแรงในวันนั้นเลยตัดสินใจว่า ไปเดินเล่นแล้วเอาของขวัญไปให้มันในวันนั้นซะเลย แต่ถ้าจะให้เปล่าก็ดูกระไรอยู่ ผมเลยคิดว่าเราน่าจะมีทริปเดินทั่วสยามมันเลย จึงเกิดเป็นทริปนี้ขึ้น

 ทริปที่ว่านี้เริ่มต้นที่ CTW ครับ ผมกับเพื่อนนัดกันไว้ที่นี่ แต่บังเอิญๆๆๆๆๆๆ ผมติดหนังการ์ตูนเรื่องนึงคือ NEON GENESIS EVANGELION  และสืบทราบมาว่า มีร้านหนังสือ ชื่อร้าน OH ANIME อยู่ที่นี่เลยลองไปหาดู และผมก็พบกับ....


EVANGELION ฉบับ ภาษาไทย ของสยามอิเตอร์ ที่รอคอย!!!!! (โอ้วจอร์จ มันจิ้นมว้ากกกกก) จะพลาดไปไย กระผมก็สอยมันเลยสิครับ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า บางตอนมันหมดไปแล้วนะสิ ไม่เป็นไร คราวหน้า ค่อยมาใหม่
และก่อนออกมาผมก็พบกับ


 โคนัน และ ไยบะ (ตอนเด็กๆ ติดไยบะมากๆๆ) ไว้วันหลังค่อยมาจิ้ม

  หลังจากที่ผมเจอเพื่อนและมอบของขวัญให้แล้ว ผมกับเพื่อนก็เลยคิดว่า จะลองไปเดินเล่นที่ตลาดสามย่านเสียหน่อย โดยตัดสินใจ จะเดินผ่านสนามกีฬา ของจุฬาฯ แต่ถามว่าทำไมต้องไปไกลขนาดนั้น เหตุผลก็คือ ตอนแรกว่าจะไปกิน MAGNUM CAFE แต่พบว่า คนเยอะมากกกกกกกกกก เลยไม่กินมันล่ะไว้เลิกเห่อค่อยไปกิน ฮาาาาา (แต่สุดท้าย ความคิดนั้นทำให้ผมปล่อยไก่ตัวเต็มๆ ยังไงก็ตามอ่านนะครับว่าปล่อยไก่ยังไง)
http://www.youtube.com/watch?v=SX6dJv5BWSk


การเดินตัดถนน ในจุฬาฯ นั้นทำให้ผมได้พบความสงบใจกลางเมืองหลวงจริงๆครับ สงบแบบที่ เมื่อผมเข้าไปผมรู้สึกถึง สถานที่แห่งนี้ว่า ยิ่งใหญ่ มีเกียรติ และที่สำคัญ ผมได้ทราบความจริงที่ผมไม่เคยรู้จริงๆนะครับว่า คณะสองคณะที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศอยู่ตรงข้ามกัน นั่นคือ นิเทศศาสตร์ และ ครุศาสตร์ครับ (คือเมื่อก่อนผมคิดว่านิเทศติดนิติศาสตร์ แล้ว ครุศาสตร์ติด MBK น่ะครับ แหะๆ ) ผมเลยแชะรูปไว้สักหน่อยว่าครั้งนึง กระผมเคยได้มาเยือน คณะที่สร้างบุคลากรระดับประเทศที่มีความสามารถ และบุคลากรเหล่า ก้ได้สร้างสิ่งดีๆให้กับประเทศครับ


คณะนิเทศศาสตร์ กับ 1ใน 5 แฟนพันธุ์แท้ Steve Jobs 
(นิเทศ แปลว่า สื่อสาร  มือเป็นสัญลักษณ์ว่า รัก ดังนั้นรูปนี้จึงแปลว่า ผมรักคุณ นะครับ อร้ายยยย)


คณะครุศาสตร์ 
คณะนี้ตอนผมเดินผ่าน ผมรู้สึกได้ถึงพลังแห่งความหวังเลยครับ
เป็นความหวังของคนที่เป็นครูที่หวังจะให้ลูกศิษย์ ของคนเป็นคนดีของสังคม 

   หลังจากผมเดินเที่ยวตลาดสามย่านจนหนำใจแล้วผมกับเพื่อนก็เดินผ่านมาทางเดิม มุ่งหน้าสู่ MBK ครับ แต่เป้าหมาย ไม่ใช่ MBK นะครับ แต่เป็น สถานที่ ที่อยู่ตรงข้าม นั่นคือ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร  หรือเรียกสั้นๆว่า หอศิลป์ กทม. 

Cr. http://ball69.blogspot.com/2010/03/blog-post.html
 โดยพวกผมไม่ได้มีเป้าหมายอะไรหรอกครับ เพียงแต่เบื่อที่จะต้องเข้าไปในห้างแล้ว เลยลองคุยกันว่า เออ ลองไปเดิน หอสิลป์ดีกว่า ไม่เคยไปเดิน อยากรุ้เหมือนกันว่าเป็นยังไง
ด้วยความที่ชื่อ หอศิลป์ มีนต้องมีอะไรอาร์ตๆหน่อย ผมก็เลยเจอนี่ครับ

ภาพพิมพ์หินร่วมสมัย จากฟินแลนด์ !?!??
  มันคือภาพพิมพืหิน จากฟินแลนด์!! แต่ผมกับเพื่อนก็มองว่ายังไงๆๆ มันก็คือ ผนังนี่หว่า ติส ป่ะล่ะครับ( ถามคนแถวนั้น เขาบอกว่า ผลงานยังยังไม่ติดครับ ) ถ้ายังไม่พอ ตอนผมเข้าห้องน้ำผมก็พบกับ นี่ครับ

ป้ายเขียนว่า "งดแสดงกริยาไม่เหมาะสม"
ถ้าติดทั่วไปคงไม่เท่าไหร่ แต่นี่ติดไว้ในห้องน้ำผู้ชายนะครับ เอ้า..เรื่องจริงครับผม อันที่จริง จะมองว่าตลกก็ตลก แต่ในความจริง ผมมองว่าน่าจะนำไปตอดในห้าง ดังๆมากกว่า เพราะตรงนั้น เดินจับมือถือแขนเยอะกว่าอีกครับ จริงไหมล่ะครับ ?
 เป้าหมายของพวกผม มีขึ้นหลังจากทราบว่า มีภาพถ่ายฝีพรหัตถ์ของสมเด็จพระเทพฯ ครับ ผมกับเพื่อนจึงรีบบึ่งขึ้นชั้น 9 ทันที แต่ครับก่อนขึ้นต้องมีการฝากกระเป๋า ที่มีขนาดใหญ่กว่่า A4 นะครับ โดยจะมีที่ให้เราเก็บของเป็น ล็อกเกอร์ โดยเราต้องเอาบัตรประชาชนไปแลก กุญแจครับ แล้วจากนั้นเราก็เดินขึ้นไปโลดดดดด โดยในระหว่างทาง ก็มีนิทรรศการ เรื่องเสียงด้วยครับ เป็นยังไง ไม่บอก ลองเดินไปชมเองนะครับ 
  เมื่อผมมาถึงที่ชั้น 9 แล้ว ซึ่งมีนิทรรศการ "ควงกล้องท่องโลก" ผมขอไม่บรรยาย นะครับ ขอให้ทุกคนดูรูปเองดีกว่าครับ 















นิทรรศการ "ควงกล้องท่องโลก"นี้จะจัดไปถึงวันที่ 3 กุภาพันธ์ เท่านั้นนะครับ 


  และหลังจากที่ได้ชมนิทรรศการแล้ว ก่อนเดินออกมาผมก็ประทับใจกับภาพนี้มากครับ 

ผมขอเรียกว่า "บันไดทางเลื่อนสำหรับผู้พิการ"
นี่คือสิ่งที่ห้างดังๆแถวนั้นแทบไม่มีให้เห็นเลยครับ ผมดีใจมากที่หอศิลป์แห่งนี้สร้างมาเพื่อคน ทุกรูปแบบจริงๆ เพราะมันคือ บันไดเลื่อนสำหรับผู้พิการครับผม ^_^



"ดาวดวงนี้อาจอยู่ยากขึ้นทุกวัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความฝันของฉันเลยว่ะ"
ไม่ทราบชื่อศิลปิน ผมต้องอภัยมา ณที่นี้ด้วย 

และท้ายสุดก่อนเดินออกมาจริงๆๆคือภาพตรงทางเชื่อมที่เขียนว่า 
"ดาวดวงนี้อาจอยู่ยากขึ้นทุกวัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความฝันของฉันเลยว่ะ"

ตอนแรกคิดว่า ทริปนี้จะจบลงแล้ว แต่ ยังครับ ยังก่อน ยังมีอีกที่ที่ยังไม่ได้เข้าไป เราจึงตัดสินใจ เดินทางไปยัง MAGNUM CAFE !!!!!

 เมื่อเดินทางไปถึง เราพบว่า คนเยอะมากกกกกกกกกกก (มากกว่าตอนเช้าที่เรามาซะอีก -_-' )
ผมกับเพื่อนเลยคิดว่า ช่างมัน รอคนเลิกเห่อก่อนค่อยมากินก็ได้ฟร่ะะ ซึ่งในตอนนั้นเอง ก็มีพนักงาน เดินมาถามพวกผมว่า มีอะไรให้ช่วยไหมค่ะ (สวยนะคนนี้ หึๆ) เราก็บอกว่า อยากทาน MAGNUM แต่คิวยาวไปคงไม่ทาน พนักงานเลยบอกว่า "อ้อ คิวที่ยาวเป็นของฝั่งร้านอาหารค่ะ แต่ฝั่งของ MAGNUM ที่ลูกค้าสนใจตอนนี้คิวว่างค่ะ" นั่นเท่ากับว่า พวกผมปล่อยไก่ตั้งแต่ตอนเช้าแล้วนี่หว่า (ถ้างง กลับไปอ่านข้างบนเลยครับ) สรุปก็คือ ร้านนี้ แบ่งเป็นสองฝั่ง คือฝั่งร้านอาหาร ที่ลูกค้าต่อคิวยาวมาก กับฝั่งลูกค้าที่อยากทานแต่ MAGNUM ซึ่งคิวไม่ยาวเลยสักนิด (เหยดดดดดด) ด้วยเหตุฉะนี้ พวกผมจึงตัดสินใจลองเข้าไปขอเมนูมาครับ และก็ได้ใบนี้มา 

ใบเมนู มีทั้งแบบ แนะนำ หรือผสมมั่วๆตามใจ

นี่เป็นใบเมนูของทางฝั่ง MAGNUM ไอติมนะครับ  โดยมีสองแบบ ให้เราเลือกคือ
1. แบบเป็นเมนูให้เสร็จเลย มี่ 4 รายการครับ
2. เป็นแบบที่เราเลือกเองได้ตามใจชอบครับ
  โดยเมื่อเราเลือกแล้วก็ไปชำระเงิน ตรงที่เราไปขอใบเมนูนั่นแหละครับ เข้าก็จะประทับตราว่าจ่ายแล้ว ให้เราไปยื่น ที่ ช่องทำอาหาร (ตรงกลางร้านนั่นแหละครับราคา 80 บาท ถ้าเพิ่มTopping คิดรายการละ15 บาท) แล้วเขาก็จะรับใบเมนูไป แล้วฉีกตรงหัวมุม มาให้เรา จากนั้นก็รอกเรียกแล้ว ดื่มด่ำกับ ไอติม MAGNUM ได้เลย อ่าาาาาาาาาา รอ

ผมใช้เวลาไม่นาน ก็ไดรับการเรียกชื่อ โดยพวกผมได้สั่งดังนี้

เพื่อนผม สั่งเมนูสำเร็จ NIGHT & DAY แบบนี้

ตั้งใจจะถ่ายก่อนกิน ไม่ให้ถ่ายเล้ยย เลยได้ภาพนี้มาแทน -_-'

ส่วนผมสั่งแบบตามใจ คือ
Dark Chocolate
 Toppings มี Pink Heart & Brownie และ Dried Cherry
ซอสเป็น White Chocolate 

แหมม น่ารักเหมือนคนสั่ง จริงๆ กร๊ากกกกกกกก

ถ้าไม่ถูกหวยนี่ จะไม่กินเด็ดขาดล่ะครับ
หลังจากลองชิมไปแล้ว (พอดีตอนชิมถ่ายเป็น VDO ไว้ เชิญชม ปล.ทำไมต้องถ่ายแนวตั้ง ทั้งที่ควรถ่ายแนวนอน ขอบอกว่า "ไม่อะ ผมแนว ผมติส ที่สำคัญ ผมหล่อ!!!")


น่าทานมากกกก

บรรยากาศภายใน ฟินจริงๆ



ถ้าอยากด่าใครก็รูปนี้เลยครับ มือเป็น ดอกไม้นะครับ หุๆๆ (ของดีๆทำเสียหมด)

ตรงนี้แหละครับที่เราต้องเอาใบเมนูที่ชำระเงินแล้วมายื่น


ลีลาการทำของพนักงาน รวดเร็วมาก สวยงามครับชอบบบ ไอติมนะ




เมนูอื่นๆก็มีให้เลือกนะครับ ไม่ใช่มีแค่ ไอติมอย่างเดียว

ปิดท้ายแล้ว เราก็ต้องมีการถ่ายรูปร้านเป็นที่ระลึกสักหน่อยสิครับ

"ข้ามาเยือนแล้ว 555"
ก็คิดมานานว่าทำไมต้องหันหน้า หันหลังกันดีกว่านะครับ

หน้าบานนนนนน

ขอแบบ พาโนรามา หน่อยเถอะ


นี่แหละครับ สรุป ทริปนี้เดิน กิน เที่ยว รอบสยาม วันนี้ ทำให้รู้ว่า สยามมีอีกหลายอย่างที่ไม่ใช่แค่ ห้างๆๆๆๆ นะครับ ลองเดินออกจาห้างบ้างก็ได้ คุณจะรู้ว่าโลกมันกว้างเหลือเกินครับ